ขณะนี้ตะกร้าสินค้าของคุณว่างเปล่า


SEO คืออะไร? วิธีทำ SEO 2025 ด้วยตัวเอง โดนใจ AI และ Google
SEO คืออะไร?
SEO คืออะไร? SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หรือในภาษาไทยคือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับในเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing หรือ Yahoo โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา
SEO คือกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงอยู่ในลำดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา (SERP) เมื่อมีคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือบริการของคุณ
SEO vs SEM ต่างกันอย่างไร?

SEM (Search Engine Marketing) คือแนวทางการทำ การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา โดยเน้นการ เพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่ อยู่ภายใต้ SEM ก็คือ การทำ SEO นั่นเองครับ
รูปแบบหลักของ SEM มี 2 แบบคือ:
- SEO (Search Engine Optimization)
- การปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ตรงตามหลักของเสิร์ชเอนจิน เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับโดยธรรมชาติ
- PPC (Pay Per Click)
- การซื้อโฆษณา เช่น Google Ads เพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา โดยจ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่ได้รับ
ทั้งสองวิธีมีข้อดีต่างกัน แต่หากใช้ควบคู่กันอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำการตลาดผ่าน Google ได้อย่างลงตัว ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึง SEO เป็นหัวข้อหลักกันครับ
ทำไม SEO ถึงสำคัญ?

- เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า เพราะคนส่วนใหญ่ใช้ Google ค้นหาข้อมูลก่อนจะซื้อสินค้า หรือบริการ การติดอันดับในหน้าแรกของผลการค้นหาช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเจอเว็บไซต์ของคุณก่อน
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับต้นๆ มักถูกมองว่า “เชื่อถือได้” มากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ล่างๆ หรือหน้าอื่นๆ
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายโฆษณา การลงโฆษณา Google Ads ต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่มีคนคลิก แต่การทำ SEO เป็นการลงทุนระยะยาว ที่เมื่อทำดีแล้วจะได้ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อคลิก
- เพิ่มคุณภาพของผู้เข้าชม ผู้ที่ค้นหาด้วย Keyword คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เมื่อเขาสนใจที่จะซื้ออะไรบางอย่าง และมักจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มซื้อสินค้าและบริการ ดังนั้นการเข้าชมจาก SEO จึงมีคุณภาพสูง
องค์ประกอบหลักของ SEO มีอะไรบ้าง?

1. On-Page SEO
คือ การปรับแต่ง “สิ่งที่อยู่ภายในหน้าเว็บ” ของเราให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้งานและ Google เพื่อให้เว็บติดอันดับดีในผลการค้นหา
พูดง่าย ๆ ก็คือ การทำให้ หน้าเว็บเข้าใจง่าย ใช้งานดี และมีเนื้อหาตรงกับสิ่งที่คนต้องการค้นหา (Search Intent) ตัวอย่าง เช่น
- การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
- การจัดโครงสร้างเนื้อหาให้อ่านง่าย
- การใส่ Title, Meta Description, H1, H2 อย่างเหมาะสม
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed)
- ความเหมาะสมกับขนาดหน้าจอมือถือ (Mobile-friendly)
2. Off-Page SEO
คือ การทำ SEO นอกเว็บไซต์ ของเรา เพื่อให้ Google มองว่าเว็บของเราน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ และสมควรติดอันดับที่ดีในผลการค้นหา
พูดง่าย ๆ คือ ไม่ได้ปรับที่หน้าเว็บตัวเอง แต่ สร้างชื่อเสียงให้เว็บไซต์เราจากภายนอก เหมือนการให้คนอื่นแนะนำหรือพูดถึงเราเยอะ ๆ จน Google เห็นว่า “อ๋อ เว็บนี้น่าเชื่อถือจริงนะ” ตัวอย่าง เช่น
- การได้ Backlink จากเว็บไซต์อื่น
- การถูกแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย
- การสร้างแบรนด์ หรือ Brand building
- การใช้ Content Marketing ลงบทความในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
3. Technical SEO
คือ การปรับแต่งด้านเทคนิคของเว็บไซต์ให้ “Google หรือ Search Engine เข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย” เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีขึ้นบนผลการค้นหา
พูดง่าย ๆ คือ ไม่ได้เกี่ยวกับ “เนื้อหา” แต่เกี่ยวกับ “โครงสร้างเบื้องหลังเว็บไซต์” เช่น ความเร็ว (Page Speed) ความปลอดภัย และความสามารถในการถูกสแกนหรือจัดเก็บข้อมูลโดย Google ตัวอย่างเช่น
- การตั้งค่า Sitemap และ Robots.txt
- การใช้ HTTPS
- การจัดการโครงสร้าง URL
- การแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ของหน้าเว็บ (เช่น 404 Error)
SEO ในปี 2025 เปลี่ยนไปอย่างไร?
SEO สำหรับการค้นหา Google ในปี 2025 เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากเมื่อก่อน
ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าขึ้น โดยเฉพาะ AI และการวิเคราะห์เจตนาในการค้นหา (Search Intent) ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ ส่งผลให้ Google ต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ลองมาดูกันครับว่า ปี 2025 การค้นหาบน Google เปลี่ยนไปในด้านใดบ้าง👇
การใช้ AI มากขึ้น
- Google ได้พัฒนาและปรับใช้ AI อย่างลึกซึ้งในระบบการค้นหา โดยเฉพาะผ่านเทคโนโลยี Gemini 2.0 ซึ่งช่วยให้สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนได้มากขึ้น และสร้าง “AI Overviews” ที่เป็นข้อมูลสรุปจาก AI เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
- ผู้คนใช้ เสียง (Voice Search) และ AI (เช่น ChatGPT, Google Gemini) มากขึ้นในการค้นหาสิ่งต่างๆ
อัปเดตอัลกอริทึมเพื่อคุณภาพเนื้อหา
- การอัปเดตครั้งใหญ่ เช่น “March 2025 Core Update” และ “April 2025 Updates” เน้นการจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และลดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำหรือไม่เกี่ยวข้อง
- Google เน้นคุณภาพเนื้อหา (Search Intent) มากกว่าการใส่คีย์เวิร์ดแบบเก่า
📈 SEO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์ในปี 2025?
1. เพิ่มยอดขายแบบยั่งยืน
SEO คือช่องทางที่ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณารายวัน แต่สามารถสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับดี
คนค้นหา = คนมี “เจตนา” ซื้อ → โอกาสปิดการขายสูง
2. ลดต้นทุนโฆษณา
- ค่าโฆษณาออนไลน์ (Google Ads, Meta Ads, TikTok Ads) ในปี 2025 เพิ่มขึ้นมาก การแข่งขันสูง
- ธุรกิจที่ลงทุนทำ SEO ดีๆ จะได้ “ทราฟฟิกฟรี” ระยะยาว โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา
3. ได้เปรียบคู่แข่งในระยะยาว
- คู่แข่งที่ไม่ทำ SEO จะต้องจ่ายเงินตลอดเวลาเพื่อให้คนเห็น
- ธุรกิจที่ทำ SEO มี “Asset ดิจิทัล” เป็นหน้าเว็บไซต์ บทความ และรีวิวที่ติดอันดับไปนานๆ
4. ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
- ปี 2025 คนชอบค้นหาก่อนตัดสินใจซื้อ (แม้ซื้อผ่านโซเชียลก็ตาม)
- การมีบทความรีวิว / หน้าเว็บที่ขึ้นอันดับดี ช่วยให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น
5. ช่วยเสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ
- ธุรกิจที่มีเว็บไซต์ติดอันดับ Google ย่อมดู “น่าเชื่อถือกว่า” ธุรกิจที่ไม่มีหน้าเว็บ หรือหาไม่เจอในผลการค้นหาเลย
เทรนด์ SEO ปี 2025 ที่ธุรกิจควรจับตา
- เนื้อหาเชิงลึก (Topical Authority) สำคัญมาก→ไม่ใช่แค่บทความทั่วไป แต่ต้องมีความเชี่ยวชาญ
- EEAT (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ยังคงเป็นแกนหลักของการจัดอันดับ
- SEO สำหรับ AI Search เช่น Google SGE (Search Generative Experience) เนื้อหาของคุณควรถูกใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในคำตอบ AI ด้วย
- Local SEO ยังจำเป็นสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้าน
✅ สรุปสั้นๆ SEO ปี 2025
SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google โดยไม่ต้องซื้อโฆษณา ซึ่งการทำ SEO ปี 2025 จะกลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ผสานเรื่องเทคนิค ความน่าเชื่อถือ และการสร้างแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน ช่วยเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และสร้างความเชื่อมั่นให้ธุรกิจ โดยเน้นคุณภาพเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) เป็นหัวใจหลัก ใครที่ทำ SEO ได้ดี จะได้เปรียบคู่แข่งในระยะยาวอย่างชัดเจน
▶️ วิดีโออธิบาย SEO
ขอบคุณที่มา : Skooldio
วิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง สำหรับผู้เริ่มต้น
เริ่มต้นวิธีทำ SEO ด้วยตัวเอง อย่างไรให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับบน Google [Step-by-Step]
SEO คืออะไร → SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะกับการค้นหาบน Google หรือเสิร์ชเอนจินอื่นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอมากขึ้น ดังนั้นเมื่อคุณมีเว็บไซต์แล้ว เราก็มาเริ่มลงมือทำ SEO กันได้เลย
สำหรับผู้เริ่มต้น นี่คือขั้นตอน การทำ SEO เบื้องต้น ที่ควรเริ่มต้นจากสิ่งสำคัญที่สุดก่อน
1. ศึกษาคำค้น (Keyword Research)
Keyword คือคำหรือวลีที่ผู้คนใช้ค้นหาใน Google เช่น “วิธีฝึกหมา”, “รองเท้าวิ่งผู้หญิง”, หรือ “วิธีทำ SEO” การเริ่มต้นจาก Keyword Research คือหัวใจหลักของ SEO เพราะจะทำให้คุณรู้ว่าควรเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร
เครื่องมือที่ช่วย :
- Google Keyword Planner
- Google Search (autocomplete)
- Ubersuggest
- Ahrefs / SEMrush
📌 ตัวอย่าง เช่น : ถ้าคุณเจอว่าคำว่า “วิธีทํา SEO ด้วยตัวเอง” มีการค้นหาเยอะ
ดังนั้นเลือกใช้ Keyword หรือ คำที่มีคนค้นเยอะ → นั่นคือหัวข้อที่ควรทำบทความ
ตัวอย่างการใช้งาน Google Keyword Planner เพื่อหาคีย์เวิร์ดมาทำ SEO
2. เขียนบทความที่มีคุณภาพ
เมื่อได้คีย์เวิร์ดแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเขียนบทความให้มีเนื้อหา สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการค้นหา หรือ เพื่อตอบโจทย์สิ่งที่คนค้นหา (Search intent)
เคล็ดลับที่ผมชอบใช้ :
- ใช้คีย์เวิร์ดในหัวข้อ (Title), ย่อหน้าแรก, และในบทความอย่างเป็นธรรมชาติ
- เนื้อหาควรมีความยาวพอสมควร (อย่างน้อย 800–1,200 คำสำหรับบทความทั่วไป)
- ใช้หัวข้อย่อย (H2, H3) เพื่อแบ่งเนื้อหาให้อ่านง่าย
- แทรกรูปภาพ พร้อมใส่ alt text เพื่อให้ Google เข้าใจ
3. ปรับแต่ง On-Page SEO
การปรับ SEO บนหน้าเว็บ หรือ “On-Page SEO” เบื้องต้น ได้แก่
- ตั้งค่า Title Tag และ Meta Description ให้ชัดเจนและดึงดูด
- ใส่ URL ที่สั้นและมีคำสำคัญ เช่น yourdomain.com/seo-basic
- ใช้ internal link (ลิงก์ภายใน) ไปยังบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บทความ “SEO คืออะไร?”
- ปรับ รูปภาพให้ไม่ใหญ่เกินไป เพื่อความเร็ว (Page Speed)
- ใช้ Schema Markup ถ้าเป็นไปได้ เพื่อให้บทความปรากฏในรูปแบบ Rich Snippet
4. สร้างลิงก์คุณภาพ (Backlinks)
ปัจจุบัน Google ยังให้ความสำคัญกับลิงก์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ชี้มายังเว็บของคุณอยู่
ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า Backlink ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของ Google
การ Backlinks เบื้องต้น :
- แชร์บทความเว็บคุณ ผ่านโซเชียลมีเดีย
- เขียน Guest Post ลงเว็บอื่น
- สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ให้มีประโยชน์ จนมีคนอยากแชร์เอง
- แลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกันกับเนื้อหาเว็บของคุณ
5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (วัดผลและปรับปรุง)
หลังจากที่คุณได้เริ่มทำ SEO ด้วยวิธีต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือ การวัดผลและปรับปรุง ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ SEO ที่ดีที่สุด ต้องไม่ใช่เพียงแค่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ
✅ คุณควรใช้ เครื่องมือวิเคราะห์พื้นฐาน เพื่อดูว่า
- บทความของคุณติดอันดับคำค้นไหนบ้าง
- คนค้นหาอะไรแล้วมาเจอบทความของคุณ
- ผู้ใช้เข้าเว็บไซต์จากหน้าไหน และอยู่ในเว็บนานแค่ไหน
- ควรปรับปรุงบทความไหน ตรงไหนให้ดีขึ้น
🔧 เครื่องมือแนะนำ
- Google Search Console – บอกได้ว่าคนค้นคำไหนแล้วเจอเว็บคุณ, คลิกกี่ครั้ง, ติดอันดับอะไร
- Google Analytics 4 – ดูพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เข้ามายังเว็บไซต์ เช่น เวลาอยู่ในเว็บ, จำนวนหน้าที่เปิด, Bounce Rate เท่าไหร่, มาจากช่องทางไหน AI, Chat GPT, Google
สำหรับคนที่สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress
แนะนำติดตั้งปลั๊กอิน เช่น Rank Math หรือ Yoast SEO จะช่วยคุณวิเคราะห์ SEO ในแต่ละบทความแบบ real-time และแนะนำสิ่งที่ควรปรับ ทำให้การทำ SEO ง่ายขึ้น แม้จะเป็นมือใหม่ก็เริ่มต้นได้เลย
✅ ทำไมต้องวิเคราะห์?
เพราะถ้าคุณไม่วัดผล ก็จะไม่รู้ว่าอะไรได้ผล และอะไรควรแก้
ตัวอย่างเช่น :
ถ้าคุณเข้าไปดูข้อมูลใน Google Search Console แล้วพบว่า คีย์เวิร์ดที่คุณตั้งใจให้ติดอันดับ อย่างคำว่า “SEO คืออะไร” กลับไม่มีคนค้นหาเลย แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่า “วิธีทํา SEO ด้วยตัวเอง” มีจำนวนการค้นหาสูงกว่า
นั่นหมายความว่า คนส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับเนื้อหาประเภทอื่นมากกว่า
ในกรณีแบบนี้ คุณอาจต้องลอง เปลี่ยนคีย์เวิร์ดที่ใช้, ปรับหัวข้อบทความให้ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา, หรือ เพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น
การวัดผล SEO จึงไม่ใช่แค่การเช็กอันดับเท่านั้น แต่เป็นการเข้าใจพฤติกรรมของผู้ค้นหา แล้วนำมาปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ในระยะยาวครับ
“เมื่อคุณปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา
SEO ของคุณก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามไปอย่างเป็นธรรมชาติ”
สอนดู Google Analytics มือใหม่ทำตามได้เลย
สรุป : การทำ SEO ด้วยตัวเอง ง่ายๆไม่ยาก
การเริ่มต้นทำ SEO ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานลึก เพียงทำตาม 5 ขั้นตอนนี้
- หา Keyword ที่ใช่
- เขียนเนื้อหาที่ดีและตอบโจทย์คนค้นหาได้ตรงจุด
- ปรับ On-Page SEO
- สร้าง Backlinks
- วัดผลและปรับปรุง
สำหรับผมคิดว่า การวิเคราะห์คือหัวใจของการพัฒนา SEO อย่างต่อเนื่อง เพราะมันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเดา และสามารถ “ปรับปรุงแก้ไขอย่างมีกลยุทธ์” เพื่อให้เว็บของคุณแข็งแรงขึ้นได้ ติดในผลการค้นหา AI Search , Chat GPT และ Google ได้ในระยะยาวครับ
ถ้าคุณชอบเนื้อหานี้ หรือคิดว่าเป็นประโยชน์ อย่าลืมกดไลก์ กดแชร์ ส่งต่อให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ 😊